หากใครติดตามข่าวสารรถยนต์ในขณะนี้ คงทราบดีว่าไม่มีข่าวไหนร้อนแรงไปกว่าการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ ‘ฮอนด้า ซีวิค’ เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดในต่างประเทศ เพราะถือเป็นรถคอมแพ็คขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดโลก รวมถึงบ้านเราก็เช่นกัน
Honda Civic RS 1.5 Turbo
และเพื่อไม่ให้แฟนๆฮอนด้าชาวไทยต้องรอช้า บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จึงรีบนำเอา Honda Civic เครื่องยนต์เทอร์โบเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด มาให้ทัพสื่อมวลชนได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ทีมงานSanook! Auto จึงไม่รอช้า เข้าร่วมทดสอบไกลถึงสนามบุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เพื่อมาบอกเล่าประสบการณ์ให้คุณผู้อ่านได้รับทราบกันครับ
การทดสอบครั้งนี้คงต้องเรียกว่าเป็นแบบ First Impression เพราะเราได้มีโอกาสสัมผัสตัวรถกัน แบบสั้นๆ เนื่องจากโมเดลใหม่นี้ยังไม่ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เราจึงยังไม่มีข้อมูลเชิงลึกกันมากมายนัก แต่เท่าที่สัมผัสก็บอกได้เลยว่า นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ฮอนด้า ซีวิค โฉมใหม่นี้ ก็ถูกปรับปรุงในด้านต่างๆดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน ชนิดที่คนซื้อรุ่นก่อนหน้าไปอาจน้ำตาตกในกันเลยทีเดียว
Honda Civic ใหม่ นับว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่ 10 แล้ว โดยไฮไลท์อยู่ที่การเลือกใช้เครื่องยนต์ VTEC TURBO ขนาด 1.5 ลิตร บล็อกใหม่ล่าสุด พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม เช่นเดียวกับที่วางจำหน่ายในต่างประเทศ โดยในบ้านเราจะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ 2 ขนาด ทั้ง 1.5 ลิตร VTEC TURBO บล็อกใหม่ที่กล่าวไป และเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร VTEC TURBO ที่ประจำการใน ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่
1.หัวฉีดแบบไดเร็คอินเจคชั่น และท่อไอดีตรง ซึ่งจะช่วยให้อากาศและเชื้อเพลิงผสมกับได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง
2.ระบบควบคุมการเปิด-ปิดวาล์วแบบคู่ Dual VTC ซึ่งจะช่วยควบคุมจังหวะการเปิด-ปิดวาล์วของท่อไอดีและท่อไอเสียให้สอดคล้องกัน ช่วยเพิ่มพละกำลังเครื่องยนต์แม้ในช่วงรอบต่ำ
3.เทอร์โบชาร์จเจอร์ พร้อมระบบควบคุมช่องระบายไอเสียส่วนเกินด้วยไฟฟ้า ช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากเครื่องยนต์เทอร์โบสมัยก่อนที่ต้องรอรอบ ตอบสนองช้า
ทั้งหมดนี้ช่วยให้ ฮอนด้า ซีวิค 1.5 ลิตร เทอร์โบ ใหม่ สามารถเรียกกำลังได้สูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,700-5,500 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการพัฒนาเครื่องยนต์ทางฝั่งยุโรป ที่ออกแบบให้มีขนาดเล็กลง แต่ให้กำลังในระดับเดียวกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจากจะแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นด้วย
เครื่องยนต์บล็อกนี้ถูกพ่วงกับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่รองรับการทำงานของ Paddle Shift บริเวณพวงมาลัย ซึ่งมีการทำงานแบบขั้นบันไดคล้ายกับเกียร์ AT ปกติ
อ็อพชั่นและอุปกรณ์มาตรฐานที่ใน ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ขอแจ้งให้ทราบทั่วกันว่ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในเวอร์ ชั่นจำหน่ายจริงหรือไม่ เนื่องจากเป็นรถล็อตแรกที่ใช้สำหรับการทดสอบ ดังนั้น ข้อมูลที่กล่าวมานี้จึงยังไม่อาจใช้อ้างอิงได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ
ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ที่เราได้มีโอกาสทดสอบในครั้งนี้ เป็นรุ่นท็อปสุดนั่นคือ ‘1.5 RS’ ซึ่ง จะเป็นครั้งแรกที่ทางฮอนด้าได้นำ เวอร์ชั่น RS สำหรับซีวิค เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยด้วย ดังนั้น การทำตลาดจะถูกเรียงตามลำดับตั้งแต่ เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรในรุ่นเริ่มต้น ตามด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบในรุ่นสูงขึ้นมา แล้วจึงปิดท้ายด้วยรุ่น RS เป็นรุ่นท็อปสุดสำหรับคนรักความสปอร์ต
ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างตัวรถที่กว้างขึ้น และมีความสูงต่ำแบบรถสปอร์ต ซึ่งทีมออกแบบตั้งใจพัฒนาให้มีดีไซน์แบบพรีเมี่ยมสปอร์ตจากค่ายยุโรป ด้วยการเพิ่มเส้นสายรอบตัวถังให้ดูมีมิติมากขึ้น รวมถึงการตกแต่งด้วยโครเมี่ยมที่ดูแตกต่างจากรุ่นเดิม ความยาวฐานล้ออยู่ที่ 2,700 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 30 มิลลิเมตร
การตกแต่งภายในห้องโดยสาร
เช่นเดียวกับห้องโดยสารภายในที่ออกแบบภายใต้แนว คิด ‘Man Maximum Machine Minimum’ ซึ่งทางฮอนด้าระบุว่าซ๊วิคใหม่ มีความกว้างของห้องโดยสารใกล้เคียงกับรถขนาด D-Segment ไปแล้ว ขณะที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังยังถูกขยายเพิ่มขึ้นอีก 70 มิลลิเมตร
ห้องโดยสารถูกตกแต่งด้วยสีดำ เบาะนั่งหุ้มหนังปรับไฟฟ้าคู่หน้า ฝั่งผู้ขับขี่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ ให้ความกระชับดี ขณะที่ฟองน้ำตัวเบาะค่อนข้างนุ่ม นั่งสบาย แต่หากนั่งยาวๆ จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าหรือไม่คงต้องทดสอบกันอีกที
ขณะที่ห้องโดยสารตอนหลังกว้างขวาง สามารถนั่งโดยสารได้ 3 คนแบบสบายๆ ไหล่ชนแต่ไม่ถึงกับเบียด ขณะที่พื้นที่วางขาต้องขอชมเชย เพราะแม้เบาะนั่งด้านหน้าจะถูกปรับสำหรับผู้โดยสารที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ข้างหลังก็ยังสามารถนั่งไขว้ห้างได้เต็มที่ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะไม่ถึงกับสูงโปร่ง ด้วยการดีไซน์เสา C-Pillar ให้ลาดเท แต่สำหรับผู้เขียนที่มีความสูง 173 เซนติเมตร เมื่อนั่งหลังชนพนักพิงเต็มแผ่น ก็ยังเหลือพื้นที่อยู่พอให้สอดกำปั้นเข้าไปได้
รูปลักษณ์ภายนอก
ภายนอกของ ซีวิค 1.5 อาร์เอส คันที่เราทดสอบ ติด ตั้งไฟหน้าแบบ Full LED ทั้งไฟสูง-ต่ำและไฟเลี้ยว พร้อม Daytime Running Light ติดตั้งในชุดโคม ออกแบบรับกับกระจังหน้าสีดำดีไซน์ล้ำอนาคต รวมถึงติดตั้ง Parking Lamp บริเวณซุ้มล้อ ที่จะสว่างขึ้นตามการเปิดไฟหน้า เป็นอ็อพชั่นไม่ค่อยเห็นในบ้านเราเท่าไหร่นัก
ขณะที่ไฟท้ายดีไซน์ยกชุดมาจากเวอร์ชั่นอเมริกาแทบ ทั้งหมด แต่จะใช้หลอด LED เฉพาะไฟหรี่เท่านั้น ขณะที่ไฟเบรกยังคงเป็นแบบหลอดปกติ แปะโลโก้ ‘RS’ ไว้บริเวณฝากระโปรงท้าย
มาตรวัดภายในห้องโดยสารถูกแบ่งเป็น 3 ช่อง โดยช่องกลางใช้สำหรับแสดงผลความเร็วแบบตัวเลข และมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล ติดตั้งพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงทางฝั่งซ้าย และปุ่มระบบ Cruise Control ทางฝั่งขวา ด้านหลังติดตั้งแป้นเกียร์ Paddle Shift แบบติดตั้งไว้กับพวงมาลัย
ชุดเครื่องเสียงในรุ่น RS เป็นแบบ Advanced Touch ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับที่พบใน HR-V รวมถึงติดตั้งกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอย และระบบ Honda Lanewatch ติดตั้งกล้องไว้บริเวณกระจกมองข้างด้านซ้าย
กุญแจรีโมทแบบ Keyless Entry ทำงานควบคู่กับปุ่มสตาร์ท ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชั่น Remote Start ใหม่ล่าสุด ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ก่อนผ่านกุญแจ รีโมท ขณะที่ตัวรถยังคงล็อคอยู่ เพื่อเพิ่มความสบายขณะก้าวขึ้นรถ
หลังจากเกริ่นมาพอสมควร เราไปเริ่มทดสอบกันเลยดีกว่าครับ
การทดสอบในสนามบุรีรัมย์นี้ ทางฮอนด้าจัดให้ทีมงานขับวนรอบสนามเป็นจำนวน 2 รอบ ซึ่งผู้เขียนก็พยายามขับขี่ให้ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงมากที่สุด
เมื่อเริ่มต้นออกตัวจากจุดสตาร์ท ก็พบว่า ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ มีบุคลิกความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน กล่าวคืออัตราเร่งเป็นไปอย่างนุ่มนวล ไม่กระโชกโฮกฮาก ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนไปใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่เปลี่ยนอัตราทดแบบต่อเนื่อง
แต่ถ้าอยากให้ทันใจขึ้นมาอีกนิด ก็เติมคันเร่งลงไปอีก พละกำลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบ ที่มีแรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร ก็ไหลมาเทมาแบบไม่ขาดสาย เผลอแป๊ปเดียวเราก็แตะความเร็ว 140 กม./ชม.ได้อย่างไม่ยากเย็น
ระบบเกียร์จะมีโหมด S หรือ Sport มาให้ที่แป้นเกียร์ ซึ่งช่วยปรับอัตราทดให้ใช้รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น รีดกำลังได้ทันใจมากขึ้น รวมถึงยังสามารถกดปุ่ม Paddle Shift ได้ในทันที ในขณะอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D ปกติ โดยเกียร์จะเปลี่ยนเป็นโหมด Manual ให้ชั่วคราว สามารถเลือกปรับได้ตามใจชอบ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการเร่งแซงหรือลดความเร็วกะทันหัน และจะกลับมาเป็นโหมด D ให้
อีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ก็คือช่วงล่างที่นิ่มนวลขึ้น แต่หนักแน่น ให้ฟีลลิ่งหนึบหนับ ต่างจากรุ่นเดิมที่เซ็ทมาค่อนข้างแข็งกว่านี้ ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับเก๋งรุ่นใหญ่ ซึ่งน่าจะถูกใจคนที่ชอบความนุ่มนวล โดยเฉพาะเมื่อต้องขับผ่านทางขรุขระ มีหลุม หรือฝาท่อที่ไม่ราบเรียบกับพื้นถนน (ถนนในกรุงเทพฯนี่แหละตัวดี)
แป้นเบรกถูกปรับปรุงให้สามารถ Linear ได้ดียิ่งขึ้น ให้อารมณ์คล้ายกับรถยุโรป สามารถหน่วงความเร็วได้ตามน้ำหนักเท้า ขณะที่การชะลอความเร็วแบบเร่งด่วนอาจต้องเหยียบลึกนิดนึง ต่างจากรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่มักเซ็ตไว้ตื้นๆ
ขณะที่จุดเด่นอีกด้านก็คือ การควบคุม ‘NVH’ หรือ ‘Noise, Vibration and Harshness’ ให้อยู่ในระดับต่ำกว่ารุ่นเดิม ซึ่งระหว่างการทดสอบ แม้จะใช้รอบเครื่องยนต์สูง แต่ห้องโดยสารภายในยังคงความเงียบไว้ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับเสียงจากพื้นถนน รวมถึงแรงสั่นสะเทือนเข้ามาภายในห้องโดยสารก็อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะบริเวณพวงมาลัย ทำให้รู้สึกถึงความพิถีพิถันในการพัฒนาห้องโดยสารภายในของรุ่นนี้ได้อย่าง ชัดเจน
สรุป จากที่ได้สัมผัส Honda Civic ใหม่ เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็บอกได้ว่านี่คือซีวิคที่ดีที่สุดเท่าที่ฮอนด้าเคยผลิตมา พัฒนาขึ้นจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจนในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยว หรูหรา แฝงด้วยมัดกล้ามของรถสปอร์ต เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร ให้พละกำลังดีอย่างที่คาดหวังไว้ ซึ่งก็คาดหวังว่าจะเห็นอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน
ขณะที่การขับขี่ก็ปรับปรุงให้มีบุคลิกสุขุม คล้ายกับรถยุโรปมากขึ้น ช่วงล่างหนักแน่น ซับแรงสะเทือนได้ดีขึ้น คุณภาพภายในห้องโดยสารดีขึ้นทั้งในแง่ของความเงียบ, แรงสั่นสะเทือน และวัสดุภายใน
ใครที่กำลังรอ Honda Civic เจเนอเรชั่นใหม่นี้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง แล้วเจอกันเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ครับ
0 Comment "Honda Civic RS 1.5 Turbo ลองสัมผัสขุมพลังเทอร์โบครั้งแรกในไทย [ First Impression ]"